วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เพื่อนกันมันส์ใช่ป่ะ? ตอนเพื่อนร่วมทาง1


ผมชื่อ คนิน ชื่อเล่นชื่อ นิน อายุ 31 ปี ยังโสด เคยมีแฟนมาแล้วสามคนแต่ก็โดนเทเรียบร้อย .. เนื่องจากผมมันเป็นพวกติดบ้านติดห้อง ไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหน วันหยุดก็นอน หยุดพิเศษก็นอน วันโดนไล่ออกก็นอน .. อยู่แม่งแต่ในห้องแหละครับ ตามสไตล์คนชิลๆ สุดท้ายแล้วเลยไม่มีสาวไหนแลเหลียว



แต่ผมก็ไม่แคร์นะ ช่างสิ เกิดมาก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ไม่มีแฟนก็ดีอย่างไม่ต้องมาวุ่นวายว่าวันนี้จะกินอะไรหรือไม่ต้องมากังวลใจเวลามองสาวอื่นแล้วจะโดนหึงโดนงอนหรือไม่ สบายจะตายชีวิตหนุ่ม
โสด..

แถมตอนนี้เทพเจ้าแห่งโชคกำลังเข้าข้างผมเสียด้วยสิ ผมพึ่งจะได้รับการโปรโมตให้เลื่อนขั้นในสายงาน แม้จะต้องถูกย้ายมาต่างจังหวัด แต่เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นมากโขนั้นทำให้ผมปฏิเสธไม่ลงเลยทีเดียว แถมอากาศและสังคมแถวนี้ยังดูน่าอยู่มากกว่าที่กรุงเทพเสียที.. ดังนั้นผมจึงย้ายมาทำงานที่สาขานี้...

นอกจากเงินเดือนจะเพิ่มแล้วสวัสดิการยังตามมาเอาใจแบบติดๆอีกด้วย ในการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ผมได้บ้านพักประจำตำแหน่งมาหนึ่งหลังด้วย เป็นบ้านที่สวยทีเดียว แม้จะไม่ใหญ่มากแต่ถ้าเทียบกับหนุ่มโสดแบบผมแล้ว มันก็ใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียวแล้วไม่เหงาเลยนะ อิอิ

เพื่อนฝูงจากสาขาในกรุงเทพต่างก็มาร่วมยินดีและมาช่วยกันขนของตามประสาหมู่มิตรอาจจะมีจริงใจบ้าง สมน้ำหน้าบ้าง อิจฉากันบ้างก็สุดแล้วแต่บุคคลไปผมคงไม่ไปไล่สืบและไล่อาฆาตหรอก ยังไงก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้ ผมมันคนสันโดษเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย อะไรที่ปล่อยผ่านได้ก็จะปล่อยไป .. เริ่มต้นชีวิตใหม่กันดีกว่า

ไม่มีงานเลี้ยงอำลาไม่มีแม้กระทั่งกินเหล้าสังสรรค์กันส่งท้าย พอพวกเขาช่วยงานผมเสร็จผมก็ไล่กลับกันหมดเลย บอกแล้วว่าผมมันคนสันโดษ สันโดษจนบางทีถ้าคุณเป็นเพื่อนกับผม คุณอาจจะรำคาญไปเลยก็ได้ล่ะ ...
อีกเรื่องที่ผมไม่ชอบก็คือ .. คนที่ชอบส่งเสียงดังโวยวายแบบไร้มารยาท ไม่ได้อยากจะดูถูกนะ .. แต่ตอนที่รู้ตัวว่าจะต้องย้ายที่ต่างจังหวัดนั้นผมก็ทำใจอยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับคนที่แหกปากลั่นสามซอยแปดซอยแน่นอน ก็นะ วิถีชีวิตมันต่างกัน ก็ว่ากันไปตามสภาพ ...

พอมาวันแรกก็เจอเลย ... เหตุการณ์มันเกิดขึ้น วันก่อนเริ่มทำงานวันแรก ในขณะที่ผมกำลังนอนดูทีวีอยู่ในบ้านพัก

“ป้าแดง..น้ำมาส่งแล้วค่า..” เสียงแหลมๆของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนดังลั่น ไม่อาจระบุได้ว่าเธออยู่ใกล้ถึงไกลจากบ้านของผมไป แต่ที่แน่ๆคือเสียงเธอโคตรดังแล้วก็โคตรน่ารำคาญเลย น้ำเสียงก็ก๋ากั่นฟังดูน่าจะห้าวเป้งพอสมควร บางทีอาจจะเป็น ทอมฮะ จอมซ่าประจำซอยนี้ก็ได้ นี้เราจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ทุกวันเลยหรือเปล่าเนี้ย ไม่ไหวนะๆ
“โอเลี้ยงสั่งได้ ชาเย็นสั่งได้ โอวัลตินสั่งได้ ... โอเลี้ยงก็มี ชาเย็นก็ได้ โอวัลตินก็มา..”
อ๋อ ..ที่แท้ก็เป็นแม่ค้าขายน้ำนี้เอง คงจะเดินประกาศขายไปทั่วซอยล่ะมั้ง .. ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงเดินผ่านไป อยู่นิ่งๆเงียบๆไว้ดีกว่า อย่าทำตัวเด่นมากเลย ดูท่าทางคนแบบนี้มักจะคุยเก่งซะด้วยสิ..

ปิ่ง..ป่อง... เสียงกริ๊งหน้าบ้านดังขึ้น .. ใครกดกันฟ่ะ. ผมแง้มม่านออกดูเล็กน้อยก็พบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็น่าจะเป็นแม่ค้าขายตัวเสียงห้าวๆคนนั้นแหละ .. เธอกำลังยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านผมพร้อมทั้งตะกร้าหรืออะไรซักอย่างซึ่งข้างในน่าจะเป็นสินค้าที่เธอจะนำมาขาย ให้ตายเถอะ หล่อนเป็นเซลล์แมนหรือไงฟร่ะ .. เนื่องจากอยู่ระยะไกลทำให้ผมเห็นหน้าเธอได้ไม่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม..ไม่ไปยุ่งด้วยเป็นดีที่สุด ...
ผมตัดสินใจเงียบเฉย ไม่ตอบ แม้จะมีเสียงกริ๊งดังขึ้นมาเป็นระยะก็ตาม...

“งั้นเดี๋ยวแวะมาใหม่นะคะ....ถ้าอยากได้น้ำก็โทรหาได้นะคะ 09x xxx xxxx” นี้เล่นตะโกนแจกเบอร์กันแบบนี้เลยหรือเนี้ย แถมเสียงก็ยังทรงพลังได้ใจอีกต่างหากแน่ะแม่ค้าคนนี้ .. ทำเอาผมชักอยากจะเห็นหน้าเธอซะแล้วสิ ...
ผมแง้มผ้าม่านดูอีกรอบหนึ่ง แต่เธอก็เดินหายไปเสียแล้ว.. เอาเถอะ ยังไงผมก็ต้องอยู่แถวนี้อีกนาน ซักวันคงได้เจอกันอีกนั้นแหละนะ
แล้วก็เป็นไปตามคาด...ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเธอก็เดินกลับมาที่หน้าบ้านผมอีก

“สั่งน้ำได้นะคะ...สั่งน้ำได้... ยกมือดักกวักมือเรียกได้เลยจ้า...” เมื่อได้ยินเสียงเธอผมก็รีบแง้มม่านแอบส่องทันที .. อืมก็ยังเห็นไม่ชัดอยู่ดี...เอาล่ะๆ.. ลงทุนหน่อยก็แล้วกัน
ผมรีบออกไปเปิดประตูบ้านและตะโกนเรียก “สั่งน้ำหน่อยครับ…” เสียงไม่ดังเท่าไหร่แต่ก็เพราะพอที่จะทำให้เธอหยุดหันกลับมามองได้ “ค่า..” เธอตอบ
“เอ่อ...ขอกาแฟก็แล้วกันครับ...” เนื่องจากสั่งแบบไม่ได้เตรียมตัวผมก็เลยนึกอะไรไม่ออก
“ไม่มีค่ะ..ร้านไม่ขายกาแฟนี้น้องไม่รู้เหรอ...” เอ๋..เรียกผมน้องเลยเหรอเนี้ยผู้หญิงคนนี้.. จากลักษณะแล้วเธอน่าจะอายุน้อยกว่าผมอีกนะ ... ตัวเด็กผมสั้นท่าทางห้าวๆ ใส่เสื้อเชิ้ตหนาๆสะพายกระติกน้ำแล้วก็ใส่กางเกงขายาวตัวใหญ่ๆดูไม่เหมือนผู้หญิงด้วยซ้ำ .. แถมน้ำเสียงคำพูดคำจาก็ไม่น่าฟังเท่าไหร่เลย ชิ คิดผิดจริงๆเลยเราก็ออกมาสั่งแบบนี้
“จะว่าไป..ไม่เคยเห็นหน้าเลย..พึ่งย้ายมาเหรอ..”

ทำไมถึงพูดจากับคนแปลกหน้าแบบไม่มีหางเสียงล่ะเนี้ย คนแถวนี้นี้มันมารยาทแย่จริงๆเลย ผมไม่อยากจะคุยกับเธอซะแล้วสิ – แต่จะให้เดินสะบัดตูดหันหลังหนีเลยก็ใช่เรื่อง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องลิ่วตาตาม ทางที่ดีอย่าพยายามมีปัญหากับเจ้าถิ่นตั้งแต่วันแรกเลยจะดีกว่า ..

“ฮะๆ..ขอโทษทีนะครับ ใช่แล้วครับผมพึ่งย้ายมาวันแรกเอง..เอ่อ คือว่า..น้อง...”
“ใครน้อง...หืม?.. พูดผิดพูดใหม่ได้นะ...”
ที่จริงผมน่าจะพูดคำนี้มากกว่า แหะ... ยัยคนนี้เริ่มจะทำให้ผมเซงซะแล้วสิ
“เอ่อ..แหม..จากหน้าตาของคุณแล้วผมว่าคุณน่าจะเด็กกว่าผมนะ..”
“เราอายุเท่าไหร่ล่ะ..” เธอถามกลับเสียงห้วนๆ อืม ถามมาก็ดีละ จะได้รู้ซักทีใครหมู่ใครจ่า
“31 ครับ...”
“อืม..พี่ ปีนี้ 39 แล้ว...”

เฮ้ยๆ .. เดี๋ยวก่อนนะ.. นี้ร่างกายอำกันเล่นหรือเปล่าเนี้ย ... จะบ้าหรือไง หน้าตาอย่างเธอเนี้ยนะ อายุ 38 ย่าง 39 บ้าไปแล้ว ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ
“เอ่อ..ขอโทษนะครับ”
“รู้ว่าไม่เชื่อ..อ่านี้...”
ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น .. แม่ค้าสาวน้อย..อืม..ไม่น้อยแล้วสิ .. แม่ค้าสาวใหญ่ตรงหน้ายื่นบัตรประชาชนของเธอมาให้ผมดู.. จากรูปถ่ายแล้วไม่ผิดแน่ นี้คือใบหน้าของเธอ ดูอ่อนเยาว์คราวรุ่น 20 ตรงๆเลยก็ว่าได้ ส่วนปีเกิดก็ .. 2520

เหยด ตะม่อน..เอาจริงเหรอเนี้ย … ไปกินอะไรมาถึงได้ดูเด็กขนาดนี้เนี้ย.. นี้ไม่ใช่ 30 ยังแจ๋วแล้วนะ นี้มัน 40 ยังเป๊ะเลยล่ะ

“อึ้งไปเลยอ่ะดิ..หึหึ.. ว่าแต่จะเอาน้ำอะไรล่ะ..กาแฟไม่มีนะ ร้านพี่ไม่ขาย..” ผู้มีชัยยิ้มร่าพร้อมทั้งเสยผมที่ปกแก้มขึ้นไปทัดหูไว้ทำให้ใบหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น .. อุบ๊ะ ให้ตายเหอะ สวยเช้งใช่ได้เลยนะ พอเห็นหน้าชัดๆแล้วก็เริ่มจะเห็นริ้วรอยบ้าง แต่ก็ยังสวยอยู่ มีเสน่ห์แบบสาวใหญ่อันน่าหลงใหล
ประสบการณ์เธอคงจะโชกโชนน่าดู ... แล้วเธอก็น่าจะมีลูกมีผัวแล้วด้วยมั้งเนี้ย..

“อ่า..งั้น..เอาโอวัลตินก็ได้ครับ...”
“หมด..”
“งั้น..มีอะไรเหลือบ้างครับ...”
“ชาเย็น..เหลือขวดเดียวด้วย..เอาไหมน้อง เดี๋ยวแถมน้ำแข็งให้สองก้อน..”
แหม นี้ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดี พี่สาวคนนี้อาจจะโดนส้นตีนไปแล้วก็ได้นะครับเนี้ย กวนจริงๆเลย พับผ่า สิ

“อ่านี้ชาเย็น 25 บาทจ๊ะ เอาหลอดไหม...” 25 บาทเลยเหรอ แพงชะมัดเลย ที่กรุงเทพยังขายแค่ 20 เอง พลาดแล้วเรา
“เอาครับ..”
“อ๊ะ..โทษที..หลอดหมด..”
..
ฮึ่มม... หายใจเข้า...หายใจออก.. ลึกๆยาวๆ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ
รู้สึกหน้าชาเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มกลับไป “ผมชื่อ นิน นะครับ..ยินดีที่-”
“ใครถามแกล่ะ...”
แล้วเจ๊แกก็เดินจากไป ...
โดยที่..ฮึ่มมมม...หน็อย...อีเจ๊...ซักวันเถอะ...ซักวัน... ฮึ่มมมม...

สรุปแล้วผมเสียเงิน 25 บาท ไปได้น้ำหวานรสชาติแย่มาหนึ่งขวดแถมโดนคนแก่กวนประสาทฟรีๆอีกต่างหาก แน่ะ.. ช่างเป็นการต้อนรับที่สุดแสนจะอบอุ่นเหลือเกินให้ตายเถอะ ..
เอาน่ะๆ ใจเย็นๆ เรามันคนสันโดษ อย่าไปแคร์อย่าไปสนใจมาก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป..เหมือนกับทุกทีนั้นแหละ ..

เช้าวันต่อมาผมไปทำงานด้วยความข้องจิตข้องใจเล็กน้อยและเริ่มหวาดระแวงแล้วว่าคนแถวนี้จะกวน ทีน เหมือนกับอีเจ๊เมื่อวานกันทุกคน .. แต่ปรากฏว่าตรงกันข้ามเลย ทุกคนที่นี้มีน้ำใจและน่ารักมาก แม้แต่ลุงยามเฝ้าที่จอดรถยังอัธยาศัยดีต่างจากที่ผมย้ายมาเลย ทักทายอย่างเป็นมิตรต้อนรับอย่างอบอุ่น .. แหม สงสัยอีป้านั่นจะไม่ใช่คนแถวนี้นะ

ทำงานที่ต่างจังหวัดนี้มันสบายกว่าที่ กรุงเทพ อีกแหะ คนแถวนี้มีน้ำใจเชื่อฟังและเคารพกันมาก ผมมาอยู่ที่นี้ในฐานะหัวหน้างาน สั่งอะไรเขาก็ทำตามหมด ไม่บ่นไม่แขวะเหมือนที่ กรุงเทพ เลย ดีจริงๆ ... แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ใช่พวกบ้าอำนาจถึงขนาดว่าดีแต่สั่งคนอื่นหรอก ก็ช่วยเหลือเขาบ้าง ไม่ใช่เพื่อเอาใจ แต่โดยเนื้อแท้แล้วผมเป็นคนไม่ชอบพึ่งคนอื่นน่ะ อะไรที่ทำได้ด้วยตัวเองก็จะทำไปก่อน

ตำแหน่งผมมีผู้ช่วยหนึ่งคนเปรียบได้ดั่งกับเลขานุการส่วนตัว ทว่ามันไม่ใช่เลขาสาวสวยเอ็กซ์แตกแบบในหนังหรือในนิยายโป๊นะ ... ผู้ช่วยของผมเป็นผู้ช่วยตัวใหญ่ล่ำซะด้วย ดูๆไปแล้วก็เหมือนกับบอดี้การ์ดมากกว่าแหะ .. เขาเอาเอกสารมาให้ผมจัดการมากมายแล้วก็ยังค่อยดูแลผมในหลายๆเรื่องอีกด้วย..
“คุณ คนิน อยากดื่มน้ำไหมครับ?..” เขาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อ๋อ..ไม่ครับ...เรียก พี่นิน ก็ได้นะครับ เรียกคุณมันแปลกๆ แหะๆ..” ผมถ่อมตนกลับไปและกลับไปสนใจงานบนโต๊ะต่อ .. เนื้องานไม่ต่างจากที่สาขาเก่า หากแต่อาจจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ที่ต้องเริ่มศึกษาใหม่ ก็ไม่เป็นไร ของแบบนี้มันฝึกกันได้ .. “อ่า...จะว่าไป..ถ้าไม่รบกวนนะพี่ขอเป็นน้ำเปล่าก็แล้วกัน...แล้ว.. บุญ จะไปทำอย่างอื่นก่อนก็ได้นะ..ตรงนี้ยังไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก”
บุญคือชื่อผู้ช่วยของผมน่ะ
“เดี๋ยวให้ น้าปิ่น มาเสิร์ฟน้ำให้นะครับ...งั้น พี่นิน ผมขอตัวไปช่วยงานข้างนอกก่อนนะครับ ถ้าพี่นินมีอะไรเรียกใช้ผมได้ทุกเวลาเลยนะครับพี่ ...” กล่าวจบผู้ช่วยแสนขยันของผมก็เดินออกจากห้องไป ... ผมก็รับฟังและพยักหน้าตอบเท่านั้น งานตรงหน้ามันยุ่งจนไม่มีเวลาถามอะไรเพิ่มเติมเลย

ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูกระจกของห้องทำงานผมเบาๆ “เชิญครับ” ผมพูดโดยที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาเยือน
“ขอ อนุญาตนะคะ...น้ำดื่ม...” เป็นเสียงผู้หญิงที่อ่อนหวาน... นุ่มนวล น่าจะเป็นป้าแม่บ้านของที่นี้ .. ส่วนใหญ่พวกป้าๆพวกนี้จะใจดี มีน้ำใจแล้วก็น่าคบหาสมาคมด้วยครับ บางคนนี้ความคิดดีกว่าพวกทำงานนั่งโต๊ะอย่างพวกผมอีกนะครับ ว่าแต่ทำไมผมคนนี้ถึงหยุดพูดกลางคั่นล่ะ

“วางได้เลยครับป้า..” ยังไม่เห็นหน้าแต่ผมฟันธงจากเสียงไปก่อนแล้ว .. เธอค่อยๆเดินเข้ามา วางน้ำช้าๆ ผมแอบเหล่ไปมองมือของเธอ..อืม..ก็น่าจะเป็นป้าจริงๆนั่นแหละ .. แต่ทำไมเธอถึงดูเกร็งๆแปลกๆนะ ผมหน้าโหดไปหรือเปล่าหรือว่าหน้าเครียดกับงานมากเกินไป .. เอ๋... ทำแบบนี้เกิดช่องว่างระหว่างลูกน้องพอดี ไม่ได้ๆ ถึงผมจะไม่ชอบเข้าสังคมแต่ผมก็ไม่ชอบให้คนขยาดตนเหมือนกัน ต้องทักทายหน่อยแล้ว..

ผมตัดสินใจวางปากกาลงและเงยหน้าขึ้นสบตากับป้า...เอ่อ...ป้า... หืมม.. หน้าคุ้นมาก... แม้จะรวบผมเก็บเข้าเน็ทเปิดใบหูทั้งสองชัดเจนก็เถอะ ... แต่ผมจำใบหน้านี้ได้...ไม่อยากจะเชื่อเลย.. นี้คือใบหน้าของคนคนแรกของจังหวัดนี้ที่คุยกับผม .. แบบกวน ทีน ..
นี้มันอีป้าขายน้ำนี้หว่า !!!?

“เอ่อ..คือว่าดิฉัน...”
“เดี๋ยวก่อนครับ..คุณ...”
หึหึหึ... แผนชั่วในหัวผมแล่นขึ้นมาทันทีเลย เกิดมาไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสทำอะไรสนุกๆแบบนี้มาก่อนเลย
“ผม คนิน นะครับ ย้ายมาเป็นผู้จัดการสาขานี้ครับ... ยิน ดี ที่ ได้ รู้ จัก นะ ครับ ...” ผมพูดช้าๆชัดๆด้วยรอยยิ้มพิสดารที่สุดเท่าที่จะขุดออกมาทำได้ พลางจ้องไปที่ใบหน้าอันซีดเซียวของหญิงสาวจอมก๋ากั่นวัย 38 ปี
“ค่ะ..”  น้ำเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด “เอ่อ...ป้าปิ่น ค่ะ...คนที่นี้เขาเรียกดิฉันว่า ป้าปิ่น น่ะค่ะ...”
“พี่..ปิ่น..” ผมเน้นเสียงที่คำว่า พี่ เพราะนั่นคือคำแรกที่เธอใช้พรีเซ้นต์ตัวเองกับผม .. “จะเรียกผมว่า น้อง ก็ได้นะครับ พี่ปิ่น ยังไงผมก็ อายุ น้อยกว่า อยู่แล้ว...”

พอล่ะๆ ไม่แกล้งล่ะ สงสาร “ล้อเล่นน่ะครับ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดเนอะ ..ขอบคุณสำหรับน้ำดื่มนะครับ ป้าปิ่น...”
“ค่ะ..งั้น..ป้าขอตัวก่อนนะคะ..”
ให้ตายเถอะ มองมุมไหนเธอก็ไม่มีความเป็นป้าซักนิดเลยแหะ ... ยังกับป้าเมย์ในสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นใหม่ยังไงยังงั้นแหละ สวยเช้งทำเอาเป้าตุงเลยนะเนี้ย – สาวห้าวเวลาเขินๆหรือทำอะไรไม่ถูกนี้มันมีเสน่ห์พิลึกดีแหะ ..

วันนั้นทั้งวันผมทำงานอย่างมีสุขในหัวก็คิดเรื่องสนุกๆมากมาย .. อยากจะแกล้ง ป้าปิ่น แกเหมือนกันนะ แต่ก็เอานะ .. เดี๋ยวจะถูกมองว่าไปรังแกผู้น้อยซะงั้น ... เย็นวันนั้นทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือเพียง บุญ ผู้ช่วยของผมที่ยังคงอยู่ช่วยงานผมต่อ แม้ว่าจะเลยเวลางานของเขามาแล้วก็ตาม ผมพยายามให้เขากลับไปก่อนแล้วแต่เขาก็ไม่ยอมกลับไปซะที น้ำใจนี้มีมากจนเกินควรจริงๆแหะ ...
กว่างานจะเสร็จก็เกือบหกโมงแน่ะ ... ช่วงนั้นทำให้ผมรู้ด้วยว่า ป้าปิ่น ยังคงรอพวกเราอยู่ อันที่จริงแล้วกุญแจออฟฟิศอยู่กับป้าแกน่ะ .. พอรู้ความจริงแล้วผมก็รีบขอโทษแกยกใหญ่เลย แต่แกก็ทำเกรงใจไม่กล้ารับแม้กระทั่งคำขอโทษจากผม สงสัยว่าจะยังช็อคจากตอนที่ทำกร่างกับผมอยู่ .. บางทีแกคงจะกลัวตกงานล่ะมั้ง .. ซึ่งผมไม่ทำอย่างนั้นหรอก มันใจร้ายเกินไป แค่เรื่องเข้าใจผิดเอง ..

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ พี่นิน ป้าปิ่น สวัสดีครับ” บุญ ยกมือไหว้ผมและป้าปิ่นอย่างน้อมนอบในขณะที่พวกเรากำลังลงลิฟต์ไปที่ลานจอดรถของบริษัท
“กลับยังไงล่ะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะหากต้องเดินกลับก็คงจะต้องเป็นธุระไปส่งให้ตามวิสัยของผู้ใหญ่
“รถเครื่องครับพี่...”
รถเครื่อง ... คือไรว่ะ ...
แล้วคำตอบก็ประจักษ์เมื่อมาถึงลานจอดรถ รถเครื่องก็คือ รถมอเตอร์ไซต์ นั่นเอง..

บุญกลับบ้านด้วยรถเตอร์ไซต์ส่วนตัว ส่วนป้าปิ่นนั่นก็กำลังสตาร์ทมอเตอร์ไซต์ของตนเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าแกจะสตาร์ทไม่ติดแหะ .. ผมซึ่งอยู่ในรถยนต์ส่วนตัวแล้วกำลังสังเกตการณ์อยู่ ..
“ได้หรือเปล่าครับ” ผมเปิดกระจกออกมาตะโกนถาม – แกยิ้มกลับมาและถีบคันสตาร์ทต่อไป .. สภาพมอเตอร์ไซต์ก็เก่าพอควร.. ทำไมผัวแกไม่ซื้อคันใหม่ให้นะ..หรืออย่างน้อยๆมารับเมียหน่อยก็ยังดี ออกจะสาวจะสวยแบบนี้เดี๋ยวก็โดนไอ้หนุ่มที่ไหนมาเคลมให้หรอก

“ผมช่วยไหม..” ผมถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าใบหน้าของ ป้าปิ่น เริ่มจะแดงก่ำและกำลังถีบรถเริ่มตกลงแล้ว ป้าแกยังไม่ตอบกลับมา ผมจึงตัดสินใจเดินลงไปช่วยแกสตาร์ทเลย ... กลิ่นตัวของป้าปิ่นนี้แอบหอมเย้ายวนเหมือนกันนะ .. ถึงจะมีกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดติดอยู่หน่อยๆก็เถอะ..

แม้แต่ชายหนุ่มอย่างผมก็ยังสตาร์ทไม่ติดแล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กอย่างป้าปิ่นล่ะครับ .. ลงท้ายแล้วผมก็ต้องร้องขอให้เธอติดรถกลับมาด้วย ...
“กลับกับผมเถอะครับ..นะ.. จะให้เดินไปมันก็อันตรายนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณผู้จัดการ..ดิฉันเดินกลับออกจะบ่อยค่ะ..”
“ไม่ได้หรอกครับ... ปล่อยให้เดินกลับแบบนี้ผมรู้สึกผิดนะครับ ป้า...ไม่สิ..พี่ปิ่น..นะครับนะ...กลับด้วยกันเถอะ..”
แก ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าและยกมือไหว้ผม .. ผมรีบไหว้สวนคืนทันทีเลย แหม เดี๋ยวผมก็อายุสั้นตายกันพอดี เอ๊ะ นี้หรือว่าแกกำลังแอบด่าผมทางอ้อมเนี้ย..แต่ช่างเถอะ ... ยังไงวันนี้ก็วางใจได้แล้วที่ ป้าปิ่น จะได้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย ..

ป้าปิ่นขึ้นมานั่งบนรถของผมอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยผิดไปจากคนที่ผมเจอเมื่อวานเลย ... แกนั่งเงียบซะจนเหมือนกับเป็นรูปปั้นเลยทีเดียว ในระหว่างที่ผมขับรถไปเรื่อยๆ

“พี่เป็นคนที่นี้เหรอครับ..” ผมถาม
“ค่ะ..”
“อ่อครับ...งี้ก็รู้ร้านอาหารอร่อยๆน่ะสิครับ...แนะนำผมได้ไหมเอ่ย...หรือจะไปทานด้วยกันก็ได้นะครับ..”
“อ่า.แนะนำได้ค่ะ...แต่ว่า..” คงจะกลับไปกินกับผัวสินะ .. เอาเถอะๆ.. ยังไงผมก็ไม่ควรทำอะไรลามปามกับเธอน่ะ ต้องให้เกียรติกันหน่อย อย่างน้อยเธอก็อายุมากกว่าผม
“พะ..พูดเล่นครับพี่..ฮะๆ..พอดีผมมาอยู่คนเดียวมันเหงาๆน่ะครับ..จะหาเพื่อนกินข้าวก็ลำบาก เพราะพึ่งมาใหม่..”
“ค่ะ...แล้ว.. คุณผู้จัดการชอบกินอะไรล่ะคะ?..ดิฉันจะได้แนะนำได้ถูก..”
“แหมๆ พี่ปิ่นครับ..อยู่กันสองคนเรียกผม นิน ก็ได้ครับ...เรียกแบบนั้นผมเกร็งแย่เลยสิ..”
“ตรงไปแล้วเลี้ยวขวานะคะ...ไม่ได้หรอกค่ะ...ก็...คุณผู้จัดการ...เป็น...เจ้านาย...”
“ก็แค่หัวโขนน่ะครับ...ผมก็คนธรรมดา อายุน้อยกว่าพี่ด้วย...ซอยนี้ใช่ไหมครับ..”
“ใช่ค่ะ...ตรงไปอีกสองหลังแล้วก็เลี้ยวซ้ายนะคะ...แล้วคุณนิน..ไม่ไปกินข้าวกับครอบครัวเหรอคะ.. ”
“ไม่ครับ...อย่างที่บอกผมตัวคนเดียว...ทางนี้นะครับ...”
“ค่ะ..อ๋อ..ค่ะ..ข้างหน้านั่นแหละค่ะ..ห้องแถวตรงนั้นแหละ...”

สถานที่ที่ พี่ปิ่น อยู่เป็นห้องแถวยาวท่าทางเก่าทรุดโทรมดูอันตรายชอบกล ... อย่าบอกนะว่าผัวเธอเป็นพวกแมงดาขี้เหล้าเมายาที่ชอบซ้อมเมียเป็นชีวิตจิตใจน่ะ ... ตายห่าล่ะ ถ้าผัวแกเห็นผมมาส่งแบบนี้รับรองวีนแตกแน่นอน ...นี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ พี่ปิ่น แกดูเกร็งๆก็ได้นะ...

ผมจอดรถพร้อมทั้งล็อคประตูรถขึ้นก่อน ป้าปิ่น ทำหน้างงๆเล็กน้อย – “เอ่อ...ถึงแล้วค่ะ...”
“ขอโทษนะครับ..แต่ผมคงไม่ได้ทำให้พี่เดือดร้อนใช่ไหมครับ...” สถานการณ์แบบนี้แหละต้องใช้ความซื่อให้เป็นประโยชน์
“เอ่อ..ไม่ค่ะ..ไม่...ว่าแต่..หมายถึงอะไรค่ะ...”
“ก็...สามีของพี่จะไม่-”
“ไม่ค่ะ..ไม่ค่ะ...เอ่อ..พี่..อยู่คนเดียวค่ะ..อยู่คนเดียวมานานแล้วค่ะ...”
ได้ยินแล้วหัวใจพองโตเลยแหะ ...
“อ๋อครับ งั้นผมก็โล่งใจได้ ...” เมื่อได้คำตอบแล้ว ผมก็เลี้ยวรถเข้าไปในเขตห้องแถวของ พี่ปิ่น ทันที
“ไม่ต้องถึง..ขนาดนี้ก็ได้ค่ะ..คุณนิน..แค่นี้ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้ว..”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ... ผมไม่รู้ว่าวัฒนธรรมองค์กรของสาขานี้เป็นอย่างไร.. แต่ของที่กรุงเทพและสาขาหลัก เราถือว่าพนักงานทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะครับ ..สมัยผมเข้าทำงานใหม่ๆ ผู้จัดการสาขาหลักก็อุปการะผมอยู่บ่อยๆน่ะครับ” โกหกทั้งเพ .. บริษัทใหญ่น่ะตอแหลใส่กันมากกว่านี้อีก ...
“ค่ะ...ขอบคุณมาก..นะคะ...” พี่ปิ่นไหว้ผม ..อีกแล้ว..ผมจึงต้องไหว้กลับ.. เธอกำลังจะออกจากรถไปแต่ผมจับแขนเธอไว้ก่อน ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินแค่เพียงแต่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง
 “พรุ่งนี้ผม...มารับนะครับ . ถ้ายังไง...ชอบทำโอวัลตินไว้ให้ผมขวดหนึ่งก็ดีนะครับ..เอ่อ..ฮะๆ...แค่นี้แหละครับ”
ป้าปิ่น พยักหน้าให้ผมพร้อมทั้งอมยิ้มแบบแอบๆ แล้วก็ลงจากรถไป ..

ให้ตายเถอะ ชั้นเหมือน 14 อีกครั้ง – ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนกับตอนที่ผมจีบสาวครั้งแรกเลยแหะ ..ฟู่ฟ่า หวือหวาเลยวัยสุดๆเลยแหะ ... แต่อย่างที่เขาบอกกันนั้นแหละ ความรัก ไม่มีการจำกัดอายุอยู่แล้ว ... หวังว่า ป้าปิ่น จะมีใจให้ผมบ้างนะ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกแบบนี้ไปคนเดียว ...

คืนนั้นผมกลับไปนอนเพ้อเจ้อเหมือนเด็กมัธยมปลายที่พึ่งจะได้เบอร์สาวที่แอบปลื้มมาเลย รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก กว่าจะนอนหลับได้ก็เลยเอาหัวใจอ่อนแรงไปเลยล่ะ .. ไม่ได้หัวใจเต้นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ..

เช้าวันต่อมา ... ผมมารับป้าปิ่นที่หน้าห้องแถวของแก ... แต่ปรากฏว่า ... ประตูห้องของแกนั้นลงกลอนล็อคจากข้างนอกเรียบร้อยแล้ว สอบถามคนข้างเคียงแถวนั้นเขาก็บอกว่า ป้าปิ่น ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าเลย ...
อ้าวเฮ้ย..ไม่เห็นเหมือนที่คุยกันไว้นี้หว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น